หากพูดถึงไข้เลือดออกคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะโรคนี้เกิดจากยุงลายที่ทุกๆบ้านต่างเฝ้าระวัง โดยเฉพาะหน้าฝนที่มีน้ำขัง ฝนตก ยุงชุม หากโดนยุงกัดก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ อาการของไข้เลือดออกนั้นค่อนข้างรุนแรง และทำให้เสียชีวิตได้ ไปดูกันเลยว่าอาการของไข้เลือดออกเป็นอย่างไร จะมีวิธีการป้องกันและรักษาอย่างไรบ้าง
เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ
ไข้เดงกี (dengue fever : DF) และไข้เลือดออก (dengue hemorrhage fever : DHF) เป็นโรคติดเชื้อไวรัส dengue ที่มียุงลายเป็นแมลงนำโรค พบระบาดมากในช่วงฤดูฝน
เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้ ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย พร้อมที่จะเข้าสู่คนที่ถูกกัดต่อไป เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนนั้นป่วยได้
มักจะมีไข้ขึ้นสูง 2-7 วัน (อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส)
เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง
ในรายที่มีเกล็ดเลือดต่ำ อาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง เนื่องจากมีเลือดออกที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรคไข้เลือดออก
อาจมีอาการปวดท้อง เนื่องจากมีตับโตในช่องท้อง มักกดเจ็บบริเวณชายโครงข้างขวา
* ผู้ป่วยไข้เลือดออกส่วนใหญ่จะอาการไม่มากและหายได้เอง แต่มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีอาการรุนแรง เลือดออกมาก โดยเฉพาะในทางเดินอาหาร หรือมีสารน้ำรั่วออกจากหลอดเลือดมากจนความดันต่ำ ช็อกและหมดสติ
เราสามารถสังเกตได้ว่าไข้เลือดออกจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน อาจมีเลือดกำเดาไหล และเลือดออกเป็นจุด ๆ ตามร่างกาย ในขณะที่โรคไข้หวัดจะมีอาการไข้สูงติดต่อกัน และมีอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ อย่างเช่น มีอาการไอ หรือมีอาการน้ำมูกร่วมด้วย
หากเป็นไข้เลือดออก เมื่อไข้ลง ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสามารถพบภาวะช๊อกหรือเลือดออก อาจถึงแก่ชีวิตได้ หากมีไข้สูงต่อเนื่องตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป เช็ดตัวและทานยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น ควรมาโรงพยาบาล
การแพร่กระจายของไวรัส dengue อาศัยยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นพาหะนำโรคจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยยุงลายเพศเมียดูดเลือดของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีที่อยู่ในระยะที่มีไวรัสในกระแสเลือด (Viremia) โดยทั่วไประยะ viremia จะอยู่ในช่วง 2 วันก่อนถึง 6 วันหลังวันที่เริ่มแสดงอาการ
เมื่อยุงลายได้รับเชื้อไวรัส dengue จะใช้ระยะเวลาฟักตัว (Extrinsic incubation period ; EIP) ประมาณ 8 – 12 วัน ถึงสามารถแพร่เชื้อไวรัสไปสู่คนได้ และเมื่ออีกคนได้รับเชื้อไวรัส dengue จะใช้เวลาประมาณ 3 – 14 วัน (เฉลี่ย 4 – 7 วัน) (Intrinsic incubation period; IIP) ถึงจะแสดงอาการของโรค ซึ่งบางรายอาจจะไม่แสดงอาการแต่สามารถแพร่เชื้อได้
ติดตามอาการและอาการแสดงของไข้เดงกี และไข้เลือดออกเดงกี
ตรวจหา warning signs เช่น ปัสสาวะลดลง มีเลือดออกจากเยื่อบุต่าง ๆ หายใจไม่สะดวก ปวดท้อง อาเจียน เพื่อพิจารณารับผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
แนะนำให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ หรือพิจารณาให้สารน้ำทางเส้นเลือดอย่างเหมาะสม
ระมัดระวังการให้ยาลดไข้ paracetamol หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เช่น ยา NSAIDs,
H2-blocker
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทุก 1-3 วัน
ส่งตรวจ CBC (หรือbloodsmear)
ควรตรวจ tourniquet test
ดื่มน้ำ หรือน้ำเกลือแร่ให้เพียงพอ วิธีสังเกตว่าดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ คือ ให้สังเกตปัสสาวะจะต้องเป็นสีเหลืองอ่อน หากเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีชา แสดงว่าร่างกายยังขาดน้ำอยู่
รับประทานยาลดไข้ให้ใช้ยาพาราเซตามอล ตามขนาดที่แพทย์สั่ง ห้ามเกินขนาด เพราะอาจเป็นสาเหตุของตับอักเสบจากยาพาราเซตามอลได้
ห้ามใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย และมากขึ้นได้
หากอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ อาเจียนมาก ดื่มน้ำเท่าไรก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย มือเท้าเย็น ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายว่าผู้ป่วยอาจมีความดันเลือดต่ำและช็อกได้
โรคไข้เลือดออก ไม่ติดต่อทางการสัมผัส หรือรับประทานอาหารร่วมกัน
เมื่อมีไข้หากจะอาบน้ำ ให้อาบด้วยน้ำอุ่น หรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น เพราะหากใช้น้ำเย็น ผู้ป่วยจะสูญเสียความร้อนจากร่างกายมาก อาจเกิดอาการสั่นได้
พยายามอย่าให้ยุงกัด เช่น นอนในมุ้ง หากต้องการทำงานอยู่ในที่ที่อาจมียุงกัด ให้ทายากันยุงที่ผิวหนัง
ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้านและบริเวณรอบบ้าน เช่น ปิดตุ่มน้ำ, เลี้ยงปลาสำหรับกินลูกน้ำยุงลาย เช่น ปลาหางนกยูง, น้ำหล่อขาตู้กับข้าวให้ใส่ทรายอะเบท, ขวดแก้ว ภาชนะที่อาจมีน้ำขังให้คว่ำ รวมทั้งหลุมบ่อรอบบ้านที่อาจมีน้ำขัง ให้กลบทำลายเพราะอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
ฉีดพ่นหมอกควันกำจัดยุง ช่วยลดปริมาณยุงได้ 3-7 วัน และเป็นการตัดวงจรการระบาดในที่ ๆ มีผู้ป่วยไข้เลือดออก
ข้อแนะนำคือควรฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ทิ้งระยะห่างระหว่างเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 เป็นเวลา 6 เดือน ส่วนระยะห่างของเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 เป็นเวลา 6 เดือนเช่นกัน
วัคซีนชนิดดังกล่าวสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ 66% จุดเด่นของวัคซีนคือช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ หรือลดอัตราการนอนโรงพยาบาลลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับระยะเวลาในการป้องกันโรคของวัคซีนนั้นต้องติดตามกันต่อไป เนื่องจากอยู่ในระหว่างวิจัยและยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน