เชื้อราที่เล็บ หรือ โรคเชื้อราในเล็บ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยซึ่งส่งผลให้เล็บของคุณหนาขึ้น เปราะ และเปลี่ยนสี แม้ว่าเชื้อราที่เล็บอาจดูเหมือนเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดความไม่สบายและอาการรุนแรงขึ้น บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาเชื้อราที่เล็บอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถดูแลเล็บของคุณให้มีสุขภาพดีและแข็งแรงได้ตลอดเวลา
หัวข้อน่ารู้เกี่ยวกับเชื้อราที่เล็บ
เชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) คือ เชื้อราขนาดเล็ก ส่วนมากเป็นเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) โดยสามารถพบได้ถึง 50% ของผู้สูงอายุ และพบมากในผู้ป่วยเบาหวาน มักพบบ่อยที่บริเวณเล็บเท้ามากกว่าเล็บมือ
สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาชนิดทา เช่น ครีม, ขี้ผึ้ง หรือน้ำยาเคลือบเล็บป้องกันเชื้อรา
1. เทอร์บินาฟีน (Turbinafine) เป็นตัวยาที่นิยมใช้ มีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงน้อย
สำหรับเล็บมือ ระยะเวลาการใช้ยา 6 สัปดาห์
สำหรับเล็บเท้า ระยะเวลาการใช้ยา 12 สัปดาห์
2.ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี แต่อาจมีผลข้างเคียงของตัวยา เช่น ปวดท้อง หรือคลื่นไส้
3. ฟลูโคนาโซล (FLuconazole) มักใช้รักษาในกรณีเชื้อรารุกลาม อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดหัว หรือคลื่นไส้
ทั้งนี้แพทย์อาจพิจารณาถอดเล็บ ในผู้ป่วยบางรายขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง
อ่านเพิ่มเติม : ถอดเล็บ อย่างปลอดภัย ที่คลินิกใกล้ฉัน
บทสรุป
เชื้อราที่เล็บ เป็นเรื่องที่สามารถพบได้ทั่วไป และพบมากในคนสูงอายุและมีโรคร่วม สามารถสังเกตุอาการของเล็บติดเชื้อราได้เบื้องต้น เช่น เล็บเปลี่ยนสีเป็น ขาว เหลือง ดำ, เล็บหนาขึ้น, เล็บเปราะลง และเล็บมีกลิ่นเหม็น เป็นต้น หากพบอาการเหล่านี้ควรมาพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี
ส่วนการรักษาจะเป็นการใช้ยา หรือบางกรณีแพทย์จะพิจารณาถอดเล็บ เราสามารถป้องกันได้โดยการงดใช้ของส่วนรวม, รักษาสุขภาพเล็บ, ดูแลเรื่องความชื้น ให้ดี เป็นต้น
บทความที่น่าสนใจ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Hot Line 081-562-7722 กดโทรออก
เรียบเรียงโดย นายแพทย์พันไมล์ เปรมัษเฐียร
แก้ไขล่าสุด : 19/08/2024
อนุญาติให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com