ไวรัสตับอักเสบบี โรคร้ายที่หลายคนมองข้ามและชะล่าใจในการป้องกัน เนื่องจากโรคชนิดนี้แฝงอยู่ไม่ปรากฏอาการ เมื่อติดเชื้อแล้วการรักษาให้หายได้ยาก จนในผู้ป่วยบางรายเป็นโรคเรื้อรังลุกลามเกิดเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้
รู้จักไวรัสตับอักเสบบีให้มากขึ้น ไวรัสนี้คืออะไร เกิดและติดต่อผ่านทางไหน ใครเสี่ยงรับเชื้อ การตรวจและรักษา และวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ได้รับเชื้อ
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อทางเชื้อผ่านเลือด และสารคัดหลังของผู้มีเชื้อ ซึ่งสามารถเกิดได้หลายกรณี ได้แก่
ติดต่อจากครรภ์มารดาที่เป็นพาหะของโรค
ติดต่อผ่านการรับเลือดจากผู้มีเชื้อ
ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งไม่ป้องกันยิ่งเสี่ยงสูง
การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน อาจมีเชื้อปนเปื้อน
การสัมผัสโดนเลือด/สารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีในเด็ก มักจะเป็นการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ (Subclinical Infection) ซึ่งอาจนำไปสู่ระยะเรื้อรัง ส่วนในผู้ใหญ่จะเริ่มต้นที่อาการของระยะเฉียบพลัน
ทำให้เจ็บป่วยในระยะสั้นซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 6 เดือนแรกหลังจากที่ติดเชื้อ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
เป็นระยะที่ทำให้มีเจ็บการป่วยในระยะที่ยาวนาน ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่อยู่ในร่างกาย ผู้ที่ได้รับเชื้อและเข้าสู่ภาวะของระยะเรื้อรังมักจะไม่แสดงอาการเป็นเวลานาน โดยผู้ป่วยอาจมีอาการในกรณีที่มีอาการแทรกซ้อน โดยอาการของระยะเรื้อรัง สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 Immune Tolerant Phase
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก เป็นเวลานาน
ร่างกายไม่มีการแสดงอาการผิดปกติใดๆ
ตรวจพบเชื้อในเลือดและในตับสูง
ไม่มีอาการของพังผืดที่ตับและตับอักเสบ เนื่องจากร่างกายยังไม่มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพื่อทำลายเชื้อ
ระยะที่ 2 Immune clearance phase (Immune active phase)
ร่างกายของผู้ป่วย เริ่มมีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเชื้อ ส่งผลให้เกิดตับอักเสบ
เชื้อในเลือดยังอยู่ในปริมาณสูงอยู่
อาจมีอาการแสดงหรือไม่มี ต้องหาความผิดปกติผ่านการตรวจเลือด
ผู้ป่วยในระยะนี้ที่มีอาการตับอักเสบเป็นเวลานาน อาจมีพังผืดที่ตับ และพัฒนากลายเป็นตับแข็งได้
ระยะที่ 3 Inactive phasee (Non/Low Replicative Phase)
ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระยะนี้ไว จะมีพังผืดหรือตับอักเสบน้อยมาก
ร่างกายไม่มีการแสดงอาการผิดปกติใดๆ
ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่ 2 นาน แม้ตรวจค่าเอนไซม์ตับ (ALT) แล้วปกติ ก็อาจพบพังผืด หรือตับแข็งได้
ระยะที่ 4 Reactive phase
ผู้ป่วยระยะนี้ พบได้เพียงร้อยละ 15-30 เท่านั้น
อาจมีอาการแสดงหรือไม่มี ต้องหาความผิดปกติผ่านการตรวจเลือด
ผู้ป่วยระยะนี้เสี่ยงเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ
ความอันตรายของระยะนี้คือ การติดเชื้อเป็นเวลานาน |
หากทารกที่มีการรับเชื้อในระหว่างคลอด ทารกนั้นจะมีความเสี่ยงเป็นพาหะเชื้อสูง และค่อยๆลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น และในผู้ได้รับยาที่มีผลข้างเคียงต่อเซลล์ร่างกาย (Cytotoxic Drugs) หรือเป็นโรคเอดส์ ก็มีโอกาสเป็นไวรับตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังได้สูงมากยิ่งขึ้น
ผู้ป่วยสามารถเป็นโรคในระยะเรื้อรังและยืดเยื้อ คือ ผล HBsAg เป็นบวก แต่ตรวจไม่พบไวรัสในเลือด หรือในกรณีของผู้ป่วย ที่เป็นโรคในชนิดที่เรื้อรังและรุนแรง เชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีการเพิ่มจำนวน และตรวจพบเชื้อในเลือด หากเซลล์ตับนั้นมีการถูกทำลายเป็นจำนวนที่มากขึ้น สามารถทำให้ผู้ป่วยเป็น ตับแข็ง และมะเร็งตับได้
อ้างอิงข้อมูล: สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ความรู้เกี่ยวกับโรคตับอักเสบ (Hepatitis)
การรักษาให้หายได้ขึ้นอยู่กับกรณีด้วย โดยต้องแยกผู้ป่วยเป็น 3 กรณี คือ
กรณีผู้ป่วยเป็นคนร่างกายแข็งแรง ส่งผลให้ร่างกายสามารถต้านเชื้อ และส่งผลให้เชื้อในร่างกายหมดไป จากนั้นเชื้อจะพัฒนากลายเป็นภูมิคุ้มกัน
กรณีผู้ป่วยร่างกายฟื้นตัวไม่ได้ เป็นๆหายๆ มีโอกาสที่จะเข้าสู่ระยะเรื้อรัง กลายเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับต่อไป
กรณีผู้ป่วยที่อาการหายไป แต่เชื้อยังอยู่ซึ่งกลายเป็น ‘พาหะ’ ของโรค หรือก็คือเป็นโรคนี้ตลอดชีวิต ซึ่งสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ ดังนั้นจึงต้องฉีดวัคซีนทารกที่เกิดจากครรภ์พาหะตั้งแต่อายุ 1 เดือน
อ่านเพิ่มเติม: วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ฉีด 3 เข็ม ลดความเสี่ยงโรค ราคา
หากอยากทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ สามารถเช็กอาการของตัวเราเองเบื้องต้น เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน อาการตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้มขึ้น หรืออุจจาระสีซีด และเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อหาว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในเลือดหรือไม่ ซึ่งจะมีการตรวจหลายวิธี ทั้งนี้วิธีการตรวจจะขึ้นอยู่กับประวัติ อาการ แล้วก็วัตถุประสงค์ของตรวจ การตรวจจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและประเมินสถานะของการติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ
วิธีที่ใช้ในการตรวจหลักๆจะมีด้วยกัน 6 วิธี คือ ตรวจ HBsAg ,Anti-HBs, HBcAb, HBeAg, Anti-HBe และ HBV DNA เป็นต้น นอกจากการนี้แพทย์อาจพิจารณาตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อวางแผนการรักษา, ติดตามในผู้ที่ติดเชื้อด้วย รวมถึงประเมินความเสียหายของตับและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การตรวจเอนไซม์ตับ (ALT และ AST), ตรวจค่าบิลิรูบิน และอัลตราซาวด์ เป็นต้น
การรักษาในระยะติดเชื้อแบบเรื้อรัง แพทย์จะทำการรักษาไปพร้อมๆกับการให้รับประทายาเพื่อควบคุมเชื้อไวรัสภายในร่างกาย และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
|
2. พบแพทย์เพื่อตรวจและติดตามอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับของไวรัสและการทำงานของตับเป็นประจำ ตามคำแนะนำของแพทย์
3. รักษาสุขภาพให้ดี
โดยเฉพาะรักษาสุขภาพของตับ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อตับ
การรักษาเพิ่มเติม: กรณีที่ผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น ตับแข็ง หรือเป็นมะเร็งตับ อาจจำเป็นต้องรักษาและดูแลเฉพาะทาง เช่น การผ่าตัด หรือการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ความรู้เกี่ยวกับโรคตับอักเสบ (Hepatitis)
พญ.ส่องหล้า จิตแสง, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บทความที่น่าสนใจ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Hot Line 081-562-7722 กดโทรออก
เรียบเรียงโดย นายอัชวิน ธรรมสุนทร
แก้ไขล่าสุด : 01/07/2024
อนุญาตให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com