การคุมกำเนิดด้วยวิธีการใส่ห่วงอนามัยเป็นอีกหนึ่งวิธีที่คุณผู้หญิงหลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้สามารถคุมได้นานถึง 3-10 ปี หากต้องการมีบุตรก็สามารถกลับมามีได้อย่างรวดเร็ว การใส่ห่วงอนามัย ก็ไม่ทำให้เกิดรอยแผลภายนอก หรือไม่มีการส่งผลต่อร่างกายนอกกับคุณสาวๆด้วย
"เนื่องจากเป็นการใส่อุปกรณ์เล็กๆ |
ข้อมูลที่น่าสนใจและควรรู้เกี่ยวกับการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
ทําจาก polyethylene ผสม BaSO4 ให้ทึบแสงเพื่อให้หาเจอด้วยเครื่อง X-ray (เช่น Lippes Loop) , บางชนิดทำมาจาก stainless steel (นิยมใช้ในประเทศจีน) ปัจจุบันในประเทศไทยได้เลิกใช้ไปแล้ว
2.1. Copper IUD (ห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบทองแดง) ทองแดงจะไปกระตุ้นการสร้างสารอักเสบในร่างกายซึ่งมีผลเป็นพิษต่อ sperm และเซลล์ไข่ แบ่งออกเป็น 2 แบบ
2.1.1. Copper T จะอยู่ได้นาน 5 ปี
2.1.2. Multiload จะอยู่ได้นาน 3-5 ปี
2.2. Hormone-releasing IUD (ห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบฮอร์โมน) ห่วงสามารถปล่อย Progestin (Levonorgestrel) ออกมาช่วยคุมกําเนิดได้ อยู่ได้นาน 5 ปี
2.3. Frameless IUD (ห่วงคุมกำเนิดชนิดไม่มีโครง) มีทั้งแบบที่เคลือบทองแดงและฮอร์โมน ข้อเสียมักจะเลื่อนหลุดได้ง่าย แพทย์ต้องมีความชำนาญสูงในการใส่ห่วงคุมกำเนิดชนิดนี้ (เช่น Gynefix)
คาดว่าเกิดจากกลไกการอักเสบจากวัสดุแปลกปลอม ทำให้เกิดการกระตุ้นกระบวนการอักเสบภายในร่างกาย กระบวนการนี้เป็นพิษต่อตัวอสุจิ และไข่ และยังขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนอีกด้วย
กรณีที่เป็นห่วงอนามัยชนิดหลั่งสารโปรเจสติน (progestin-releasing IUD) จะเพิ่มกลไกการหนาตัวของมูกบริเวณปากมดลูกเพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของอสุจิ และยังทำให้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลงไม่พร้อมสำหรับการฝังตัวอ่อน
ผู้ที่มีความต้องการจะคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง
ผู้มีความเสี่ยงต่ำในการติดต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
มีความต้องการจะคุมกำเนิดระยะยาวอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป
มีความต้องการที่จะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้หากหยุดใช้ห่วงอนามัย
มีความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงวิธีการคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
ผู้ป่วยต้องทำการปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนการใส่ห่วงอนามัย
แพทย์จะทำการตรวจภายในก่อนการใส่ห่วงอนามัย
แพทย์จะใช้อุปกรณ์เข้าไปในช่องคลอด และจับบริเวณปากมดลูกไว้
จากนั้นจึงใส่ตัววัดระยะโพรงมดลูก เพื่อป้องกันมดลูกทะลุ
แพทย์ทำการใส่ห่วงอนามัยเข้าไปในโพรงมดลูกตามระยะที่วัดเอาไว้
สอบถามอาการผู้ป่วยหลังการใส่ห่วงอนามัย
ห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบทองแดงจะทำให้ประจำเดือนมามากและนานในช่วงแรก อาจจะมีอาการปวดท้องประจำเดือนร่วมด้วย
ห่วงคุมกำเนิดชนิดเคลือบฮอร์โมน จะทำให้ประจำเดือนไม่มา และอาจมีประจำเดือนกะปริบกะปรอย
อาจมีตกขาวเพิ่มขึ้นจากปกติในผู้ที่ใส่ห่วงคุมกำเนิดบางราย
เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้
การเลื่อนหลุดของห่วงอนามัย (Expulsion) โดยอัตราการเลื่อนหลุดจะสูงในปีแรก และจะลดลงในปีถัดถัดไป
ตำแหน่งไม่เหมาะสม (Malposition) อาจทำให้ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดลดลงได้
ไม่พบสายห่วงอนามัยจะทำให้มีความลำบากในการถอดออก
ห่วงอนามัยแตกหัก อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย หากชิ้นส่วนหลุดเข้าไปในช่องท้องจะทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในช่องท้อง หรือภาวะมีบุตรยากตามมาได้
มดลูกทะลุ (Perforation) มีโอกาสเกิดขึ้น 1 ใน 1000 อาการอาจไม่เกิดทันทีหลังจากการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด แต่จะมีอาการปวดท้องมากผิดปกติตามมาในภายหลังได้ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คเพิ่มเติมต่อไป
1. โพรงมดลูกผิดรูปอย่างรุนแรง (Severe uterine distortion) ซึ่งมักเกิดจากความผิดปกติด้านโครงสร้างของโพรงมดลูก เช่น Bicornuate uterus, ปากมดลูกตีบ (cervical stenosis), ก้อนเนื้อของกล้ามเนื้อมดลูกที่ทำให้โพรงมดลูกผิดรูป
2. มีการติดเชื้อในอวัยวะในอุ้งเชิงกรานอยู่ (Active pelvic infection) ควรรักษาให้หายก่อนอย่างน้อย 3 เดือน
3. ทราบหรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ เนื่องจากการใส่ห่วงอนามัยเพิ่มโอกาสแท้ง และแท้งติดเชื้อ
4. มีภาวะแพ้ทองแดง ในกรณีเลือกใช้ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดง
5. เป็นโรค Wilson’s disease ทำให้มีทองแดงสะสมตามอวัยวะในร่างกายเพิ่มขึ้นได้
6. เลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เนื่องจากภายหลังการใส่ห่วงอนามัยอาจมีเลือดออกกระปริดกระปรอยทางช่องคลอดได้
7. อื่นๆ เช่น โรคมะเร็งเต้านมที่ยังได้รับการบำบัดรักษาอยู่ ไม่แนะนำให้ใช้ห่วงอนามัยชนิดเคลือบสาร Levonorgestrel
อาจมีอาการเจ็บได้เล็กน้อย ตอนที่ถอดและใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
มีโอกาสเลื่อนหลุดออกได้มากที่สุดในปีแรก (3-10%) โดยปัจจัยที่อาจทำให้เลื่อนหลุดได้คือ ประจำเดือนมามาก ปวดท้องประจำเดือนรุนแรง รวมไปถึงการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิดทันทีหลังคลอด หรือหลังแท้ง
ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ 24 ชั่วโมงหลังจากการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด เนื่องจากอาจจะเพิ่มโอกาสการติดเชื้อในช่วงแรกหลังจากใส่ห่วงคุมกำเนิดได้
การใส่ห่วงอนามัย แนะนำให้ใส่หลังมีประจำเดือนอย่างน้อย 2-5 วัน หรืออย่างน้อย 1 สัปดาห์
เพื่อให้ง่ายต่อการใส่ห่วงเพราะหากใส่ในช่วงของการมีประจำเดือนหรือใส่ก่อนมีประจำเดือนอาจทำให้หลุดได้ง่าย
ราคาใส่ห่วงอนามัย แบบไม่มีฮอร์โมน เริ่มต้น 4,400 บาท
ราคาใส่ห่วงอนามัย แบบมีฮอร์โมน เริ่มต้น 11,090 บาท
หมายเหตุ : ราคาอาจปรับเปลี่ยนตามคำวินิจฉัยของแพทย์
เอกสารอ้างอิง
การวางแผนครอบครัวและการคุมกำเนิด (Family planning and contraception), อุษณีย์ แสนหมี่, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Intrauterine devices: ห่วงอนามัย, น.พ. ธรรมพจน์ จีรากรภาสวัฒน์ และอ. พ.ญ. ทวิวัน พันธศรี, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ห่วงอนามัย…สำหรับการคุมกำเนิดระยะยาว, รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์, หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เรียบเรียงโดย นายแพทย์จิตรทิวัส อำนวยผล
แก้ไขล่าสุด : 13/06/2024